วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

น้ำท่วมโลก7

ฟังละกันนะครับว่า ไบเบิลนั้นกล่าวถึงอะไรบ้าง ส่วนประกอบทางศาสนาของไบเบิล มีอยู่ครบถ้วนกระบวนความครับ การสร้างโลก สร้างมนุษย์และสรรพชีวิต บทบาทของพระผู้สร้าง แทบจะไม่ต่างไปจากศาสนาอื่นๆเลย ทว่า นั่นมีอยู่ในสิบกว่าบทแรกของเยเนซิสเท่านั้น ที่เหลือ อุทิศให้กับเรื่องราวของชาวยิว ตลอดไปจนบทบาทของพระเจ้า... พระเจ้าซึ่งดูเหมือนจะเป็นคนละองค์กับองค์ที่ส้รางโลกและจักรวาล (เราจะมาดูส่วนนี้กันในตอนหลังนะครับ อดใจสักนิด) ตลอดไปจนสิ่งละอันพันละน้อย ที่ดูๆแล้วไม่เข้ากับเรื่องทางศาสนาเลย บางทีเรื่องราวของการสร้างโลก น้ำท่วมโลก และวันพิพากษา ซึ่งมีอยู่เพียงน้อยนิดในพระคัมภีร์ อาจเพียงพอแล้วสำหรับคุณค่าในการคงอยู่ของมัน แต่ก็มีบางคนล่ะครับที่คิดว่า ในไบเบิลอาจจะซ่อนอะไรไว้มากกว่านั้น แน่ล่ะ นิทานและบทกวีในไบเบิลล้วนมีคุณค่าทางวรรณคดีอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในอีเลียด มหารภารตะ หรือกิลกาเมชก็มีเหมือนกันนี่ครับ... ถ้าจะมีมากกว่านั้นมันคืออะไรกันแน่? ถึงเวลาที่จะมาศึกษาแล้วล่ะครับว่า ในพระคัมภีร์เล่มสำคัญ อันบันทึกไว้ซึ่งพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า และเรื่องราวที่ถูกเขียนขึ้นโดยผู้ทรงอานุภาพคนหนึ่งนั้น แท้ที่จริงมีความนัยอะไรแฝงอยู่ คริสตศาสนิกชนบางท่านที่แวะเวียนผ่านมา อาจเถียงหัวชนฝาว่า ไบเบิลไม่ได้มีอะไรทำนองนี้ซะหน่อย ก็ขอออกตัวไว้ตรงนี้เลยว่า ข้อเขียนทั้งหลายแหล่ ผมประมวลจากหลายๆที่ รวมทั้งรวมทั้งศึกษาไบเบิลประกอบด้วย เนื้อหาจะเป็นฉบับพันธสัญญาเดิมอันเป็นของแท้ไม่มีการดัดแปลงครับ เหมือนกับมหาภารตะที่เคยนำเสนอไปแล้ว และโดนด่ายับโดยอาจารย์วรรณคดีจากมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่ง กรรมแท้ๆจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในปี 2551 บ้าง โดย มงคล กริชติทายาวุธ ส่งมาโดย อ.วาสนา บุญโสภา
มีคำถามที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ในปี 2551หลั่งไหลเข้ามาหาผู้เขียนค่อนข้างมาก หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่เศร้าสลดเมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม 2547 อันเกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก 2 แผ่น ขยับตัว และซ้อนเกยกันบริเวณเหนือเกาะสุมาตรา ซึ่งอยู่ห่างจากประเทศไทยประมาณ 400 กิโลเมตร มีอัตราการสั่นไหว 9 ริกเตอร์ เป็นเหตุให้ประเทศไทยได้รับความสูญเสีย โดยได้คร่าชีวิตผู้คนที่พักอยู่อาศัย และมาท่องเที่ยวใน 6 จังหวัดริมฝั่งทะเลอันดามัน โดยพบศากศพมากกว่า 5,000 ศพ บาดเจ็บมากกว่า 10,000 คน และยังสูญหายอีกมากกว่า 3,000 คน โดยมีผู้คนของประเทศต่างๆอีกหลายประเทศ ที่ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเล เมื่อนับจำนวนซากศพผู้ที่เสียชีวิตในคราวเกิดคลื่นยักษ์สึนามิครั้งนี้ ก็มีจำนวนมากกว่า 220,000 ศพ ทั้งนี้เนื่องจากในปี 2534 ผู้เขียนเคยเขียนเตือนเกี่ยวกับคลื่นยักษ์ซูนามิ ที่จะเกิดขึ้นโดยมีผลกระทบต่อประเทศไทย ( คำที่ถูกต้องในปัจจุบัน เรียกว่า สึนามิ) และได้เขียนบทความอีกครั้งในต้นปี2539 รวมทั้งผู้เขียนได้เคยออกรายการให้สัมภาษณ์คุณสุทธิชัย หยุ่น ที่ itv 2 เสาร์ติดกันในรายการ น้ำท่วมโลก ในปลายปี 2539 ซึ่งมีผู้เคยอ่านบทความ ในปี 2534 แจ้งว่าผู้เขียนเคยเขียนเตือนให้ระวังซูนามิที่จะเกิดในปี 2547 , 2551 หรือ 2560 ในประเทศไทยมาก่อนแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปลายปี 2547 นี้ หากเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นในปี 2551 หรือ ปี 2560 นั้น ถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเหตุการณ์ในปี 2551 หรือ ปี 2560 นั้น จะเป็นเหตุการณ์ที่เรียกว่า อภิมหามหันตวิปโยคสุดแสนโศกสลดทั้งนี้ เพราะจะมีผู้คนเสียชีวิตมากกว่าเหตุการณ์ช่วงปลายปี 2547 ประมาณ 1,000 เท่า หรือถ้าจะพูดให้ชัดมากขึ้นคือ มีคนตายมากกว่าเหตุการณ์ที่สร้างความเศร้าโศกของช่วงปลายปี 2547 นี้ถึง 1,000 เท่าทีเดียว
เหตุการณ์อะไรเล่า ที่ทำให้มีคนตายประมาณ 220 ล้านคน ในปี 2551 (ปลายปี 2547 เหตุจากคลื่นสึนามิได้คร่าชีวิตผู้คนไปหลายประเทศรวมกัน มากกว่า 220,000 คน)เหตุการณ์ในปี 2551 หรือ ปี 2560 มิได้มาจากเหตุการณ์ใดเหตุการณ์เดียว แต่มีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นภายในปีเดียว คือปี 2551 หรือ ปี 2560 ตลอดทั้งปี เสมือนพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกถูกถล่มด้วยพระราหู ทั้งนี้ เพราะเป็นช่วงเวลาที่เปลือกโลกหลายแผ่นมีการขยับเคลื่อนตัว และเกยทับกัน (การเกยทับกันเพียงเล็กน้อยของชั้นเปลือกโลก บริเวณเหนือเกาะสุมาตราเพียงจุดเดียว เมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม 2547 เป็นเหตุให้เกิดการไหวของแผ่นดินถึง 9 ริกเตอร์ ทำให้เกิดคลื่นยักษ์วิ่งไปถึงชายฝั่งอัฟริกา ซึ่งมีระยะห่างกันหลายพันกิโลเมตรได้) ในปี 2551 หรือ ปี 2560 นั้น จะมีการเกยทับกันทั้งในบริเวณใต้ทะเลลึก และบริเวณที่เป็นพื้นแผ่นดินในหลายทวีป ความรุนแรงมีขนาดตั้งแต่ 9.5 ริกเตอร์ขึ้นไป (ปกติถ้ามีการไหวของแผ่นดินเพียง 6.5 ริกเตอร์ ก็เป็นเหตุให้อาคารบ้านเรือน ตึกรามอาคารบ้านช่อง ถนนหนทางถล่มทลาย สามารถสร้างความเสียหายได้แล้ว แต่ถ้าเกิดการไหวของเปลือกโลกบริเวณใต้ทะเลลึก ประมาณ 7.5 ริกเตอร์ จะเกิดคลื่นสึนามิ (คลื่นยักษ์) ซึ่งในปี 2551 หรือ ปี 2560 จะมีการเกิดแผ่นดินไหว ศูนย์กลางแผ่นดินไหวมีขนาด 9.5 ริกเตอร์ขึ้นไป)                                                            
สำหรับในประเทศไทยเอง ผลกระทบจากการเคลื่อนตัวของชั้นเปลือกโลกในปี 2551 หรือ ปี 2560 นั้น จะเกิดบนพื้นแผ่นดินประมาณ 3 – 4 จุด ซึ่งในทะเลก็มีทั้งบริเวณเหนือเกาะสุมาตรา และบริเวณใกล้เกาะบอร์เนีย และอีก 2 รอยเลื่อนของแผ่นเปลือกโลก ซึ่งจะมีผลทำให้เขื่อนใหญ่ 2 เขื่อนแตก และ ตึกราม บ้านเรือน สะพานและถนนหนทางพังพินาศทลายลงเป็นจำนวนมาก สำหรับจังหวัดชายฝั่งทะเล ก็จะได้พบกับสึนามิ หรือคลื่นยักษ์อีกครั้ง ด้วยความรุนแรงของการเกยทับของแผ่นเปลือกโลกอีกครั้งด้วยความแรงมากกว่าเดิม คือ ขนาด 9.5 ริกเตอร์ ขึ้นไป แม้ระบบเตือนภัยจะทำงานในอนาคต แต่ความเร็วของคลื่นสึนามิใช้ความเร็วในทะเลประมาณ 500 กม./ ชั่วโมง นักวิชาการบางท่านบอกว่ามีความเร็วระหว่าง 600 – 800 กม./ ชั่วโมง ผู้คนจำนวนมากยังไม่ใส่ใจคำเตือน คนจำนวนมากหนีไม่รอด ศพตายเป็นเบือ โผล่ให้เห็นในน้ำยิ่งกว่าดอกเห็ด แม้จะได้ทราบคำเตือน แต่ความประมาทของประชาชนที่ไม่ติดตามข่าวสารก็คงยากที่จะป้องกันความเสียหายชีวิตของผู้คนและทรัพย์สินที่อยู่ชายฝั่งทะเล

น้ำท่วมโลก6

รู้สึกว่าเขาจะใช้นิวเคลียระเบิดดวงอาทิตย์แล้วสร้างดวงอาทิตย์เทียมขึ้นมาแทนซึ่งเราสามารถควบผู้คน เฝ้ามองอย่างสิ้นหวังยามที่ชีวิตของพวกเขาถูกทำลายด้วยสภาพอากาศที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ขณะที่บนทวีปหนึ่ง มีภัยที่เกิดจากพายุ แต่บนทวีปอีกแห่งเกิดภัยแล้ง สภาพอากาศในโลกกำลังเ ปลี่ยนแปลง ปฏิกิริยาเรือนกระจกจากฝีมือมนุษย์และการทำลายป่า มันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่มนุษย์เปลี่ยนแปลงสมดุลของสภาพอากาศด้วยมือของตัวเอง
การที่อุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้การไหลเวียนของกระแสน้ำหยุดชะงัก โลกร้อนขึ้นทำให้น้ำแข็งขั้ว โลกละลาย ทำให้น้ำเค็มที่ไหลมาถึงขั้วโลกเหนือเจือจาง การไหลเวียนของกระแสน้ำในมหาสมุทร หยุดทำงานลงเมื่อปราศจากน้ำอุ่นไหลเวียนไปทั่วโลก ขั้วน้ำแข็งจึงขยายตัว หลักฐานแสดงว่าโลก ที่ร้อนขึ้น และจะถูกแช่แข็งอย่างกระทันหัน
วันนี้ โลกของเราเกิดภาวะโลกร้อน และอาจนำไปสู่ภาวะโลกแช่แข็งอีกครั้ง แต่ถ้าประวัติศาสตร์ กลับมาซ้ำรอยเดิม โลกของวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรภายใต้น้ำแข็ง างหน้าช้างแมมอธตายอย่างกระทันหัน ร่างของมันถูกแช่แข็งโดยทันทีทันใด เมื่อมีการขุดค้นร่างของแมมมอธในหลายพันปีต่อมาอวัยวะภายในของมันยังอยู่ในสภาพดีเยี่ยม กล่าวกันว่าช้างแมมมอธท่องเที่ยวไปทั่วเขตกลาเซียร์ในยุโรปและไซบีเรีย แต่ก็เป็นที่น่าแปลกใจว่า!ขนาดมหึมาเหล่านี้หาอาหารยังชีพให้เพียงพอกับขนาดอันใหญ่โตของมันได้อย่างไรในเมื่อเขตอากาศหนาวดังกล่าวแม้ต้นหญ้ายังขึ้นลำบาก ในที่สุดก็มีการตั้งสมมติฐานกันว่าเดิมพื้นที่เหล่านั้นไม่ใช่กลาเซียร์แต่เป็นพื้นที่กึ่งเขตร้อนซึ่งในบางแห่งก็มีพืชแบบที่สามารถพบในทุ่งหญ้าสเตปป์ แมมมอธมีหญ้าเหล่านี้เต็มกระเพาะซึ่งมันได้ถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีภายใต้อุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์องศาเซลเซียส ผักหญ้าทั้งหมดเป็นพืชพันธุ์ที่สามารถพบได้ในพื้นที่กึ่งเขตร้อน แต่อะไรทำให้แมมมอธที่อยู่อาศัยในเขตกึ่งร้อนเหล่านี้ถูกแช่แข็งอย่างรวดเร็ว? โดยปรกติในเขตร้อนทุกสิ่งทุกอย่างจะสลายตัวในอัตราค่อนข้างเร็วเนื่องจากความร้อนและรังสีจากดวงอาทิตย์ หากแมมมอธเหล่านี้มีโอกาสได้ถูกความร้อนในบรรยากาศของเขตกึ่งร้อนแม้แต่เพียงวันเดียวล่ะก็มันต้องมีอาการเน่าเปื่อยที่สามารถมองเห็นได้ชัดบ้างเป็นแน่ แต่มันก็มิได้เป็นเช่นนั้น ข้อสรุปเพียงประการเดียวคือสภาพอากาศถูกเปลี่ยนจากแบบกึ่งเขตร้อนให้กลายเป็นแบบอาร์คติคในเวลาที่สั้นมากๆ
ซากของแมมมอธแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสภาพอากาศถูกเปลี่ยนอย่างรุนแรง ไม่ใช่เพียงแค่ไม่กี่องศาแต่มันแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของสภาพอากาศที่เทียบได้กับระยะทางที่เปลี่ยนไปอย่างน้อยถึงหนึ่งส่วนสี่ของโลกซึ่งนั่นก็น่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันของขั้วเหนือขั้วใต้ ที่สำคัญคือมันมิใช่การเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปแต่เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันทันใด
มีคำถามสำคัญที่เราต้องตอบก่อน นั่นคือแรงอะไรที่มีขนาดมหาศาลจนสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ นาซายืนยันว่าอวกาศเป็นโครงสร้างขนาดใหญ่ของแรงแม่เหล็กไฟฟ้าโดยหลักฐานการค้นพบว่าวงแหวนและดวงจันทร์ของดาวเคราะห์แกสนั้นเรียงตัวตามแนวเส้นสนามแรงแม่เหล็กไฟฟ้า ในทางฟิสิกส์แล้วแรงแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นตัวกำหนดระยะห่างระหว่างสสารและนั่นก็หมายถึงการเป็นตัวกำหนดจุดที่ตั้งของขั้วเหนือขั้วใต้ด้วย ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของแรงแม่เหล็กไฟฟ้าของดวงดาวจึงเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดการย้ายที่ของขั้วเหนือขั้วใต้อย่างฉับพลันทันใด นักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยไลป์ซิกแห่งเยอรมันตะวันออกได้พัฒนาแบบจำลองซึ่งแสดงให้เห็นว่าโลกของเรามีการทำงานคล้ายเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (ไดนาโม) ขนาดใหญ่ที่มีแกนกลางเป็นโลหะหนัก มีแมกมาหลอมเหลวทำตัวคล้ายคลัชท์ (ของรถยนต์) และสินแร่ที่เบากว่ารวมตัวกันเป็นแผ่นเปลือกโลก ส่วนของแกนกลางนั้นหมุนช้ากว่าส่วนของเปลือกโลก ทั้งโลหะหนักและสินแร่ต่างก็มีคุณสมบัติของแม่เหล็ก เมื่อขั้วของมันขัดแย้งกันก็ทำให้เกิดพลังงานไฟฟ้าซึ่งจะสะสมไปเรื่อยๆในรูปของสนามแรงแม่เหล็กไฟฟ้า งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าระบบดังกล่าวนั้นอยู่ในภาวะไม่เสถียรเหตุการณ์พระพุทธศาสนาสูญสิ้นในครั้งนี้ได้เกิดขึ้นในสมัยพระพุทธเจ้ากัสสปะ ไม่ใช่เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในยุคพระพุทธเจ้าโคดมของเรานะครับ (เฮ้อ ! โล่งอกไปที ) ... เครือข่ายฯ คัดจากพระไตรปิฎกนำมาแสดง เพื่อให้เห็นเป็นหลักฐานว่าพระพุทธศาสนาของเรานั้นทราบมานานแล้วว่า สาเหตุของการสูญพันธ์ครั้งใหญ่ หรือ Mass extinction ที่ทำให้!โลกต้องสูญพันธ์เกือบหมดโลก นั้น เกิดจากดาวหางชนโลก ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เพิ่งจะทราบเรื่องนี้ในช่วงยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมานี้เอง (อ่านข้อความที่คัดมาข้างล่างนี้)

"Alvarez, together with his father, Nobel prizewinning physicist Luis W. Alvarez, and two other researchers at the University of California, Berkeley, discovered a pencil-thin layer of clay containing unearthly amounts of the element iridium. In 1980, the team interpreted the iridium layer as evidence that a huge comet or meteorite slammed into Earth 65 million years ago with a strength 10,000 times the explosive power of the global nuclear arsenal." (
คัดจากบทความในเว็บไซต์ Science News Online )
เมื่อท่านได้อ่านเรื่องราวคำบอกเล่าของพระทัพพมัลลปุตตเถระ ที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกต่อไปนี้ มีความคิดเห็นอย่างไร หรือ ท่านคิดว่าได้คติธรรมอะไรดี ๆ จากพระสูตรนี้ หรือ ท่านต้องการที่จะให้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติม ขอเชิญส่งความคิดเห็นของท่านมา ณ หน้ากระทู้แห่งนี้ได้เลย เราจะทำการอัพเดทข้อมูลทุก ๆ ๒ วันครับผม

......
ครั้นเมื่อพระศาสนธรรม กำลังจะสิ้นศูนย์ อันตรธาน ทวยเทพและมนุษย์พา กันสลดใจ สยายผม มีหน้าเศร้า คร่ำครวญว่า ดวงตาคือธรรมจัก ดับแล้ว เราจักไม่ได้เห็นท่านที่มีวัตรดีงามทั้งหลาย เราจักไม่ได้ฟัง พระสัทธรรม น่าสังเวช เราเป็นคนมีบุญน้อย ครั้งนั้น พื้นปฐพี ทั้งหมดนี้ ทั้งใหญ่ทั้งหนา ได้ไหวสะเทือน สาครสมุทรพูดได้ แม่น้ำร้องอย่างน่าสงสาร อมนุษย์ตีกลองดังทั่วทั้งสี่ทิศ อสนีบาต อันน่ากลัวตกลงไปรอบๆ อุกกาบาตตกจากท้องฟ้า ดาวหางปรากฏ เกลียวแห่งเปลวไฟมีควันพวยพุ่ง หมู่มฤค (เก้ง กวาง ฯลฯ ) ร้อง ครวญครางอย่างน่าสงสาร ครั้งนั้น เราทั้งหลายเป็นภิกษุรวม ๗ รูปด้วยกัน ได้เห็น ความอุบาทว์อันร้ายแรง แสดงเหตุว่าพระศาสนาจะสิ้นสูญ จึง เกิดความสังเวช คิดกันว่า เว้นพระศาสนาเสีย ไม่ควรที่เราจะมีชีวิตอยู่ เราทั้งหลายจึงเข้าไปสู่ป่าใหญ่แล้วจะบำเพ็ญเพียรตามคำสอนของพระชินสีห์เจ้า ครั้งนั้น เราทั้งหลายได้พบภูเขาหินใน ป่าสูงลิ่ว เราไต่มันขึ้นทางพะอง แล้วผลักพะองให้ตกลงเสีย ครั้งนั้น พระเถระได้ตักเตือนเราว่า การอุบัติแห่งพระพุทธเจ้าหา ได้ยาก อีกประการหนึ่ง ความเชื่อที่บุคคลได้ไว้ ก็หาได้ยาก และพระศาสนายังเหลืออีกเล็กน้อย ผู้ที่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเสีย จะต้องตกลงไปในสาคร คือความทุกข์อันไม่มีที่สิ้นสุด เพราะฉะนั้น พวกเราควรกระทำความเพียร ตลอดเวลาที่พระศาสนายังดำรงอยู่ เถิด ดังนี้ ครั้งนั้น พระเถระนั้นเป็นพระอรหันต์ พระอนุเถระ ได้เป็นพระอนาคามี พวกเราที่เหลือจากนี้ เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ประกอบความเพียร จึงได้ไปยังเทวโลก องค์ที่ข้ามสงสารไปได้ ปรินิพพานแล้ว อีกองค์หนึ่งเกิดในชั้นสุทธาวาส เราทั้งหลาย คือ ตัวเรา(พระทัพพมัลลปุตตเถระ) ๑ พระปุกกุสาติ ๑ พระสภิยะ ๑ พระพาหิยะ ๑ พระกุมารกัสสป ๑ เกิดในที่นั้นๆ อันพระโคดม บรมศาสดาทรงอนุเคราะห์จึงหลุดพ้นไปจากเครื่องจองจำ คือสงสารวัฏได้...( คัดบางตอนมาจาก ทัพพมัลลปุตตเถราปทานที่ ๔ ว่าด้วยบุพจริยาของพระทัพพมัลลปุตตเถระ สุตตันต. เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ข้อ ๑๒๔ ) พระคัมภีร์ไบเบิล
ก่อนอื่นผมขอเกริ่นถึงคัมภีร์ไบเบิลสักเล็กน้อยว่า คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่ขายที่สุดอย่างน่าอัศจรรย์ นับตั้งแต่มีการค้นพบและพิมพ์หนังสือขึ้นมาบนโลกนี้ โอเคครับ ช่วงต้นศตวรรษแรกๆ นักประวัติศาสตร์อาจหาเหตุผลมาอ้างได้ว่า นั่นมาจากอิทธิพลทางศาสนา ซึ่งถือว่า สิ่งที่อยู่ในพระคัมภีร์ คือพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า ทว่า แม้กระทั่งในยุคอวกาศอย่างปัจจุบัน ความเสื่อมทรามทางศีลธรรมในยุคนี้ ก็หาได้ส่งผลกระทบต่อไบเบิลไม่ พระคัมภีร์ยังอยู่ยงคงกระพันมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับคริสเตียนแล้ว อย่างน้อยๆต้องมีไบเบิลหนึ่งฉบับตั้งอยู่ในตู้หนังสือ เหตุผลในการซื้อหาของแต่ละคนก็แตกต่างกัน แม้กระทั่งในการแปลและเรียบเรียง การคัดลอก ดัดแปลงจากฉบับพันธสัญญาเก่ามาเป็นใหม่ ก็ยังมีการสงวนเนื้อหาสำหรับบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ สิ่งที่เหลืออยู่ ถึงจะไม่นับคุณค่าทางศาสนา แต่ก็เปี่ยมประโยชน์กับมนุษยชาติอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของประวัติศาสตร์ ความเร้นลับในเชิงเปรียบเปรย ตลอดจนความงามทางภาษาอันถือเป็นคุณค่าทางวรรณกรรม แต่... แต่ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละครับ เนื้อหาส่วนใหญ่ของไบเบิลยังคงอยู่ และแทบไม่ผิดเพี้ยนไปจากเริ่มแรกที่ถูกรจนาขึ้นเลย ทำไมล่ะครับ? ตัวอย่างง่ายๆ ก็เช่นบรรดาจารึกที่อยู่ตามถาวรวัตถุ เช่นในวิหารของอียิปต์ หรือจารึกของแถบเมโสโปเตเมีย ที่เราได้ข้อความของมันมาครบถ้วนจนถึงปัจจุบัน ก็ด้วยความคงทนและเพิ่งมีคนเริ่มแกะ และอ่านความหมายออกเมื่อไม่นานมานี้ ต้องอาศัยนักภาษาศาสตร์และนักโบราณคดีจำนวนมาก เราจึงจะถอดความหมายของมันออกมาได้ อย่างเที่ยงตรงและไม่ผิดเพี้ยน แต่ไบเบิลล่ะครับท่าน? ไบเบิลของเราไม่ได้ถูกฝังเอาไว้แล้วขุดขึ้นมา ไม่ได้มีการแปลจารึกโบราณอ่านยากออกมาเป็นภาษาปัจจุบัน มันถูกคัดลอกจากแผ่นหนังโบราณจากแผ่นหนึ่งไปสู่อีกแผ่นหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านั้นมันถุกถ่ายทอดด้วยปากเปล่าครับ ถ่ายทอดสืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยมนุษย์ยังมิได้เริ่มอารยธรรมอันศิวิไลซ์ อำนาจอันมหัศจรรย์ใดครับ ที่ส่งผลให้พระคัมภีร์ไบเบิลประสบผลสำเร็จปานนี้?
ทำไมข่าวสารโบร่ำโบราณนี้ จึงสามารถล่องลอยผ่านทะเลเวลา จนกระทั่งมาถึงเราได้อย่างไม่มีสะดุด ทำไมหนังสือเก่าแก่ฉบับนี้จึงประสบผลสำเร็จในการดำรงอยู่ ซึ่งคงความทันสมัยและเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ? อะไรกันแน่.. อะไรกันที่ทำให้ไบเบิลยังคงอยู่ในจิตใจ ของคนที่กำลังอยู่ในยุคศาสนาเสื่อมสลายอย่างเรา อำนาจมหัศจรรย์ของพระเจ้าหรือ? สำหรับท่านที่ไม่ใช่คริสเตียน หรืออาจใช่แต่ไม่เคยจับต้องพระคัมภีร์ไบเบิล ผมจะกล่าวเนื้อหาโดยย่อๆให้